ไทยและอินเดียมีความสัมพันธ์อันยาวนานจากการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ความร่วมมือนี้เติบโตมากขึ้นในช่วงที่การค้าระหว่างสองประเทศเฟื่องฟู เศรษฐกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็วของอินเดียถือเป็นโอกาสสําหรับธุรกิจในประเทศไทยที่ต้องการขยายไปสู่ตลาดที่กว้างใหญ่ขึ้น ไม่ว่าคุณจะอยู่ในอุตสาหกรรมอาหารแฟชั่นอิเล็กทรอนิกส์หรือภาคส่วนอื่น ๆ การทําความเข้าใจความซับซ้อนของการจัดส่งจากประเทศไทยไปยังอินเดียสามารถปลดล็อกศักยภาพที่สําคัญสําหรับธุรกิจของคุณ
มารู้จักกับศุลกากรอินเดีย
การเข้าใจกฎระเบียบทางศุลกากรของอินเดียเป็นสิ่งสําคัญเพื่อให้การขนส่งจากไทยไปยังอินเดียเป็นไปอย่างราบรื่น นี่คือคำแนะนําเกี่ยวกับเอกสารที่จําเป็น สําหรับการจัดส่งระหว่างประเทศ รวมไปถึงอากรศุลกากรและภาษี
ขั้นตอนที่ 1: เอกสารที่จําเป็น
ก่อนที่คุณจะส่งออกไปยังอินเดีย คุณควรเตรียมเอกสารต่อไปนี้1:
- ตั๋วแลกเงิน: นี่คือคำสั่งที่เป็นลายลักษณ์อักษรที่ใช้ในการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งฝ่ายหนึ่งมีหน้าที่ต้องจ่ายเงินให้อีกฝ่ายหนึ่ง เพื่อจ่ายเงินตามจํานวนที่กําหนดในวันที่กําหนด ข้อตกลงนี้ช่วยให้แน่ใจว่าคุณได้รับเงินสําหรับสินค้าของคุณ
- ใบกํากับสินค้า: เอกสารนี้มีรายละเอียดธุรกรรมด้วยข้อมูลเช่น:
- คําอธิบายของสินค้าที่จัดส่ง (รวมถึงรหัส HS)
- ปริมาณและราคาต่อหน่วยของแต่ละรายการ
- มูลค่ารวมของการจัดส่ง
- เงื่อนไขการขาย (Incoterms)
- ข้อมูลเกี่ยวกับผู้ซื้อและผู้ขาย
- ข้อมูลการจัดส่ง (น้ำหนัก ขนาด ฯลฯ)
- รายการบรรจุภัณฑ์: สิ่งนี้ต้องแนบควบคู่ไปกับใบกํากับสินค้า ซึ่งเป็นรายละเอียดของสินค้าในแต่ละแบรรจุภัณฑ์ของชิปเมนต์นั้นๆ ประกอบด้วย:
- จํานวนบรรจุภัณฑ์
- ประเภทของบรรจุภัณฑ์ (กล่อง ลัง ฯลฯ)
- เครื่องหมายและตัวเลขบนบรรจุภัณฑ์
- น้ำหนักและขนาดของแต่ละบรรจุภัณฑ์
- คําอธิบายโดยละเอียดของสินค้าในแต่ละบรรจุภัณฑ์
- Airway bill: หากจัดส่งทางอากาศ Airway bill ถือเป็นสัญญาระหว่างคุณกับสายการบิน โดยทําหน้าที่เป็นใบเสร็จรับเงินสําหรับสินค้าและให้รายละเอียดเกี่ยวกับเส้นทางและปลายทางของชิปเมนต์นั้น
- ประเทศอินเดียมีกระบวนการศุลกากรที่เข้มงวดซึ่งอาจใช้เวลานานและมีความซับซ้อน ผู้ส่งสินค้าจำเป็นต้องเตรียมเอกสารโดยละเอียด เช่น หนังสือมอบอำนาจ (POA) และใบกํากับสินค้าที่ระบุรายละเอียดของสินค้า รวมถึงมูลค่าและปริมาณอย่างชัดเจน
- ผู้ส่งสินค้าต้องลงทะเบียนกับ Know Your Customer (KYC) KYC เป็นขั้นตอนบังคับที่หน่วยงานจะต้องส่งเอกสารเพื่อยืนยันตัวตนและที่อยู่ของผู้รับ ไม่ว่าจะเป็นการส่งชิปเมนต์ส่วนบุคคลไปยังอินเดียหรือการส่งสินค้าเป็นจำนวนมากโดยบริษัท ก็จำเป็นต้องส่งเอกสาร KYC ไปยังผู้ให้บริการโลจิสติกส์
เนื่องจากควรส่งเอกสาร KYC ให้กับเจ้าหน้าที่ศุลกากรในระหว่างขั้นตอนพิธีการศุลกากรขาเข้าประเทศ ผู้รับจึงต้องส่งเอกสารดังกล่าวไปยังผู้ให้บริการโลจิสติกส์ก่อนที่สินค้าจะมาถึง หากไม่ได้ส่งเอกสารในเวลานั้น อาจส่งผลให้กระบวนการศุลกากรล่าช้า หรือในบางกรณีอาจมีค่าปรับเกิดขึ้น
เอกสาร KYC ที่ผู้รับต้องส่งสามารถแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม: เอกสารยืนยันตัวตนและเอกสารยืนยันที่อยู่ คุณสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่ได้ที่นี่
ขั้นตอนที่ 2: การคำนวณอากรและภาษี
เมื่อส่งออกสินค้าไปยังอินเดีย การทําความเข้าใจวิธีการคํานวณอากรศุลกากรและภาษีเป็นสิ่งสําคัญ เพื่อให้แน่ใจว่ามีการปฏิบัติตามข้อกําหนดและคาดการณ์ต้นทุนอย่างถูกต้อง จากข้อมูลของ Invest in India นี่คือองค์ประกอบของภาษีศุลกากรและอากรสําหรับการผ่านพิธีการทางศุลกากร2:
a. ภาษีศุลกากรขั้นพื้นฐาน (BCD)
ภาษีศุลกาการขั้นพื้นฐาน (BCD) คํานวณจากมูลค่าประเมินของสินค้าที่นำเข้ามาในอินเดีย อัตราภาษี BCD อยู่ในช่วงตั้งแต่ 0% ถึง 100% และขึ้นอยู่กับ ระบบการตั้งชื่อเพื่อจำแนกประเภทสินค้า(Harmonized System Nomenclature Code) ของผลิตภัณฑ์และประเทศที่นําเข้า สินค้าถูกจําแนกตามรหัส HSN ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลที่กําหนดอัตราอากรที่เกี่ยวข้อง
b. อากรและค่าบริการเพิ่มเติม
นอกเหนือจาก BCD แล้ว สินค้าของคุณอาจต้องเสียอากรและค่าธรรมเนียมอื่นๆ ดังนี้
- ค่าธรรมเนียมสวัสดิการสังคม (SWS): คิดเป็นค่าธรรมเนียม 10% ของมูลค่า BCD บังคับใช้กับสินค้าทั้งหมด เว้นแต่จะได้รับการยกเว้นเป็นพิเศษ
- ภาษีสินค้าและบริการแบบบูรณาการ (Integrated Goods and Services Tax - IGST): IGST จะถูกนำไปใช้แทนภาษีทางอ้อมก่อนหน้านี้ โดยจะเรียกเก็บจากต้นทุนสินค้าที่นำเข้าเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ผลิตในประเทศ โดย IGST ที่จ่ายสำหรับสินค้าที่นำเข้าสามารถหักออกจากภาษี GST ที่ต้องจ่ายภายในอินเดียได้ โดยจะแบ่งตามระดับภาษีเป็น 0%, 5%, 12%, 18% และ 28% ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจต่างๆ สามารถจัดการภาระภาษีโดยรวมได้
- ภาษีชดเชย: ภาษีนี้เรียกเก็บกับสินค้าเฉพาะบางรายการ เช่น สินค้าฟุ่มเฟือยหรืออาจเรียกว่าสินค้าบาป (Sin Goods) เช่น รถ SUV, ยาสูบ ซึ่งเพิ่มค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมให้กับสินค้านําเข้าในหมวดหมู่เหล่านี้
c. ประเทศต้นทางและอัตราพิเศษ
- ข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) และข้อตกลงการค้าพิเศษ (PTA): อินเดียมี FTA และ PTA จํานวนมากกับประเทศต่างๆ รวมถึงสมาชิกของกลุ่มอาเซียน เช่น ประเทศไทย ข้อตกลงเหล่านี้มักจะช่วยลดอัตราภาษี BCD และสร้างแรงจูงใจในการนําเข้าสินค้าจากประเทศพันธมิตร
- ภาษีต่อต้านการทุ่มตลาดและภาษีป้องกัน: เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ อินเดียอาจเรียกเก็บภาษีต่อต้านการทุ่มตลาดเพิ่มเติมหรือภาษีคุ้มครองสําหรับการนําเข้าจากบางประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสินค้าบางชนิดมีจําหน่ายในปริมาณที่เพียงพอในประเทศ
d. ค่า De Minimis
อินเดียมีการใช้เกณฑ์มูลค่าขั้นต่ำ (De Minimis Values) ซึ่งเป็นการกำหนดมูลค่าขั้นต่ำของสินค้าบางชนิดที่สามารถนำเข้าได้โดยไม่ต้องเสียภาษีศุลกากร เกณฑ์นี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อปรับปรุงพิธีการทางศุลกากรและลดภาระการเดินพิธีนำเข้าในระบบศุลกากรเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม สำหรับสินค้าที่มีมูลค่าเกินเกณฑ์จํากัดนี้จะมีการเรียกเก็บอากรขาเข้าและภาษีตามประเภทและมูลค่าของผลิตภัณฑ์
ข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างไทยและอินเดีย
แม้ว่าปัจจุบันประเทศไทยจะไม่ได้มีข้อตกลงการค้าเสรีทวิภาคีกับอินเดีย แต่ธุรกิจไทยยังคงได้รับประโยชน์อย่างมากผ่านข้อตกลงการค้าเสรีอาเซียน-อินเดีย (AIFTA) ข้อตกลงนี้ลงนามเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน โดยเป็นการขยายเงื่อนไขการค้าพิเศษระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนและอินเดีย ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบเชิงกลยุทธ์สําหรับผู้ส่งออกไทย
ภายใต้ AIFTA ประเทศไทยได้รับประโยชน์จากการลดภาษีนำเข้าจากสินค้าที่ส่งออกไปยังอินเดีย 76.4% ข้อตกลงนี้ช่วยให้ธุรกิจไทยสามารถเสนอราคาที่แข่งขันได้มากขึ้นในตลาดอินเดียจากการลดลงของค่าภาษีอากร3.
อีกช่องทางหนึ่งที่อาจช่วยเรื่องการค้ากับอินเดียได้คือ "ความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ (Bay of Bengal Initiative Multi-Sectoral Technical and Economic Cooperation - BIMSTEC)" สมาชิกขององค์กรนี้นอกเหนือจากประเทศไทยและอินเดียแล้ว ยังมี บังคลาเทศ ภูฏาน พม่า เนปาล และศรีลังกา ตามที่กําหนดไว้ในปฏิญญากรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2540 วัตถุประสงค์หลักของ BIMSTEC คือการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออํานวยต่อการพัฒนาเศรษฐกิจในภูมิภาคอย่างรวดเร็ว ในขณะที่การเจรจายังคงดําเนินต่อไป แต่ก็คาดการณ์ว่าโครงการนี้จะส่งเสริมและอํานวยความสะดวกในการค้าสินค้าและบริการ การลงทุน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่กว้างขึ้นระหว่างประเทศสมาชิก4
เคล็ดลับจากผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับวิธีการบรรจุและติดฉลากสินค้าส่งออกสําหรับอินเดีย
เมื่อจัดส่งระหว่างประเทศไปยังตลาดที่พลุกพล่านเช่นอินเดีย การทำให้มั่นใจว่าสินค้าจะถูกส่งอย่างปลอดภัยและทันเวลาเป็นสิ่งสําคัญมาก นี่คือเคล็ดลับในการบรรจุและติดฉลากสินค้าของคุณที่จะช่วยให้คุณส่งสินค้าไปยังอินเดียได้อย่างปลอดภัย
เคล็ดลับการบรรจุหีบห่อสําหรับการจัดส่งที่ปลอดภัยไปยังอินเดีย
บรรจุภัณฑ์มีบทบาทสําคัญในการบรรจุ ปกป้อง และถนอมสินค้า ตลอดจนช่วยให้จัดการขนส่งง่ายขึ้นและทำให้สินค้าดูสวยงาม เพื่อเป็นแนวทางในการเลือกบรรจุภัณฑ์ ที่เหมาะสมสําหรับสินค้าของคุณสําหรับการจัดส่ง เราจึงให้คําแนะนําในการพิจารณา:
- เลือกวัสดุบรรจุภัณฑ์ที่ทนทาน: เลือกกล่องกระดาษลูกฟูกคุณภาพสูงเพื่อความแข็งแรงสูงสุด เนื่องจากกล่องประเภทนี้จะช่วยปกป้องสินค้าจากการขนส่งที่ไม่เหมาะสมได้เป็นอย่างดี สำหรับสินค้าที่เปราะบางเป็นพิเศษ ควรพิจารณาใช้กล่องแบบมีผนังสองชั้นซึ่งจะช่วยเสริมความแข็งแรงเป็นพิเศษ
- ใช้วัสดุกันกระแทกที่เหมาะสม: สิ่งของที่เปราะบางควรห่อหุ้มด้วยพลาสติกกันกระแทก แผ่นโฟม หรือโฟมกันกระแทก เพื่อป้องกันไม่ให้สินค้าเคลื่อนตัวหรือเสียหายระหว่างการขนส่ง วางวัสดุเหล่านี้ไว้รอบๆ สิ่งของแต่ละชิ้นและเติมช่องว่างภายในกล่องให้เต็ม
- ใช้วัสดุกันน้ำเพื่อเพิ่มการปกป้องเป็นพิเศษ: สภาพอากาศที่หลากหลายของอินเดียซึ่งอาจมีฤดูฝนด้วย ดังนั้นจึงขอแนะนำให้คุณใช้วัสดุกันน้ำสำหรับพัสดุของคุณด้วย ซึ่งอารเป็นถุงพลาสติกหรือพลาสติกห่อหุ้มที่ปิดสนิท วัสดุกันน้ำนี้จะช่วยป้องกันความเสียหายจากน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับสินค้าประเภทอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากกระดาษ
- ปิดกล่องให้แน่นหนา: เสริมความแข็งแรงให้กับตะเข็บทั้งหมดด้วยเทปกาวคุณภาพสูงที่แข็งแรงเพื่อให้แน่ใจว่ากล่องจะไม่บุบสลาย ติดเทปกาวอีกชั้นหนึ่งทับตะเข็บด้านบนและด้านล่าง ซึ่งเป็นตะเข็บที่แตกได้ง่ายที่สุด สำหรับสินค้าที่มีน้ำหนักมาก ให้ใช้เทปกาวเสริมแรงหรือเทปรัดเพื่อเพิ่มความปลอดภัยและป้องกันการเปิดโดยไม่ได้ตั้งใจ

เคล็ดลับการติดฉลากสําหรับการส่งออกไปยังอินเดีย
การติดฉลากที่ถูกต้องถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการส่งออกที่ปลอดภัยและเป็นไปตามข้อกำหนด โดยให้ข้อมูลที่สำคัญต่อการจัดการและมาตรฐานการกำกับดูแล คุณควรปฏิบัติตามแนวทางการติดฉลากสากลและประเทศที่เกี่ยวข้อง รวมถึงข้อกำหนดด้านภาษาและสัญลักษณ์ การติดฉลากควรชัดเจน ถูกต้อง และควรเป็นภาษาอังกฤษ โดยควรระบุประเทศต้นทางไว้อย่างชัดเจน
โดยทั่วไปฉลากจะประกอบด้วย:
- เครื่องหมาย/ตราของผู้ส่งสินค้า
- ประเทศต้นกําเนิด
- น้ำหนัก (เป็นปอนด์และกิโลกรัม)
- ปริมาณและขนาดบรรจุภัณฑ์ (นิ้วและเซนติเมตร)
- เครื่องหมายการจัดการ (สัญลักษณ์สากลมาตรฐาน)
- เครื่องหมายเตือน (เช่น "This Side Up")
- ท่าขาเข้า
- ฉลากอันตรายต่างๆที่ต้องมี
เลือก DHL Express สําหรับการจัดส่งของคุณไปยังอินเดีย
การจัดส่งไปยังอินเดียช่วยสร้างโอกาสให้กับธุรกิจของคุณ แต่ดำเนินการด้านโลจิสติกส์อาจมีความซับซ้อน การเป็นพันธมิตรกับผู้ให้บริการที่เชื่อถือได้อย่างดี เอชแอล เอ็กซ์เพรส สามารถสร้างความแตกต่างอย่างมากในการรับประกันการจัดส่งที่ราบรื่นและมีประสิทธิภาพ ด้วยสาขาที่ครอบคลุมทั่วโลก คุณสามารถมั่นใจได้ว่าด้วยเครื่องมือและความเชี่ยวชาญของเราสินค้าส่งออกของคุณจะถึงปลายทางอย่างปลอดภัยและตรงเวลา
เราเข้าใจถึงความต้องการเฉพาะตัวของธุรกิจไทยที่ส่งออกสินค้าไปยังอินเดีย ดังนั้นเราจึงมีโซลูชันการขนส่งที่ปรับแต่งได้เพื่อรองรับการเติบโตในตลาดใหม่ ประสบการณ์ของเราในการขนส่งข้ามพรมแดนทำให้ลดความความยุ่งยากในการจัดส่งลงได้
เริ่มส่งสินค้าของคุณไปยังอินเดียด้วยความมั่นใจโดยเลือก DHL Express เป็นพันธมิตรด้านโลจิสติกส์ของคุณ เปิดบัญชีธุรกิจกับ DHL Express วันนี้เพื่อปลดล็อกโซลูชันการจัดส่งที่ปรับแต่งตามความต้องการ ได้รับการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญ และการเข้าถึงตลาดต่างประเทศที่กำลังเติบโตได้