ภูมิทัศน์อีคอมเมิร์ซทั่วโลกได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าทึ่ง โดยได้รับแรงหนุนหลักจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและความสะดวกสบายของแพลตฟอร์มดิจิทัล การผสานรวมเทคโนโลยีเข้ากับประสบการณ์ช้อปปิ้งอย่างราบรื่นนี้ทําให้กระบวนการซื้อง่ายขึ้นและขยายขอบเขตการค้าระหว่างประเทศไปได้ไกลกว่าเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดที่เติบโตเช่นประเทศไทย
ตลาดอีคอมเมิร์ซของประเทศไทยมีส่วนสนับสนุนการเติบโตทั่วโลกอย่างเห็นได้ชัด โดยเพิ่มขึ้น 8.7% ในปี 2023 ตามรายงานของ eCommerceDB Statista คาดการณ์เพิ่มเติมว่าอัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้น (CAGR) ที่แข็งแกร่ง ที่ 10.48% สําหรับภาคส่วนนี้ โดยตั้งเป้าไปที่มูลค่าตลาดที่ 21.8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2028
การเติบโตที่โดดเด่นนี้เน้นย้ำถึงบทบาทที่สําคัญของการให้บริการขนส่งระหว่างประเทศในโลกที่เชื่อมต่อถึงกันในปัจจุบัน จึงทำให้กลายเป็นองค์ประกอบที่ขาดไม่ได้หากต้องการประสบความสําเร็จทางธุรกิจระดับโลก
DHL Express ได้รวบรวมคำแนะนำในการส่งของจากไทยไปต่างประเทศในทุกขั้นตอน ประกอบด้วยข้อมูลเชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญและเคล็ดลับที่ใช้ได้จริง คู่มือนี้จะช่วยคุณมองเห็นความซับซ้อนและท้าทายของโลจิสติกส์ข้ามพรมแดน เพื่อให้รู้แนวทางพาผลิตภัณฑ์ของคุณเดินทางข้ามประเทศไปถึงจุดหมายปลายทางทั่วโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพและเชื่อถือได้
1. ศึกษากฎระเบียบของประเทศปลายทาง
การทำความเข้าใจข้อหนดในการส่งของไปต่างประเทศเป็นสิ่งสําคัญ กระบวนการนี้เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้โดยละเอียดว่าภาษีศุลกากรและข้อบังคับด้านภาษีเฉพาะสําหรับประเทศปลายทางเป็นอย่างไร การให้รายละเอียดสิ่งของที่ส่งไปต่างประเทศ ของประเภทไหนที่ต้องห้ามหรือต้องกำกัดในการส่งไปต่างประเทศ เพราะแต่ละประเทศมีกฎเกณฑ์การนำเข้าสินค้าเข้ามาในประเทศไม่เหมือนกัน นอกจากนี้ การหาข้อมูลเกี่ยวกับข้อกําหนดด้านบรรจุภัณฑ์และมาตรฐานการติดฉลากก็มีความสําคัญเช่นกัน
การหาข้อมูลที่ถูกต้องและปฏิบัติตามข้อกำหนดอย่างเคร่งครัดจะทำให้คุณมั่นใจได้คุณได้ทำตามกฎ และยังป้องกันความล่าช้าและความยุ่งยากทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้นได้ การทำความเข้าใจสิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานสำคัญที่ก่อให้เกิดความราบรื่นและประสบความสําเร็จในการส่งของไปต่างประเทศ
2. ทำความเข้าใจเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการส่งของไปต่างประเทศ
การคํานวณค่าขนส่งระหว่างประเทศมีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง น้ำหนักและขนาดของพัสดุเป็นปัจจัยหลัก เพราะสินค้าที่ใหญ่กว่าหรือหนักกว่ามักจะนําไปสู่ค่าจัดส่งระหว่างประเทศที่แพงกว่า
ระยะทางและการเข้าถึงพื้นที่ต่างๆ ในประเทศปลายทางก็มีผลต่อราคาอย่างมากด้วย โดยทั่วไปแล้วพื้นที่ห่างไกลมักจะค่าใช้จ่ายในการขนส่งมากกว่า ความเร็วในการจัดส่งก็เป็นอีกปัจจัยสําคัญอีกประการหนึ่ง การเลือกวิธีการจัดส่งที่เร็วขึ้นจะเพิ่มต้นทุนในการขนส่งโดยรวม
อย่าลืมคํานึงถึงค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่อาจเกิดขึ้น เช่น ประกันการจัดส่ง ซึ่งจะช่วยป้องกันการสูญหายหรือเสียหาย และบริการติดตามสําหรับการตรวจสอบพัสดุแบบเรียลไทม์ องค์ประกอบเหล่านี้ร่วมกันกําหนดต้นทุนการขนส่งระหว่างประเทศทั้งหมด ต้องประเมินอย่างละเอียดเพื่อให้สามารถประมาณค่าใช้จ่ายที่แม่นยำได้
3. เตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการส่งของไปต่างประเทศให้ครบถ้วน
เอกสารการจัดส่งที่สมบูรณ์และถูกต้องเป็นสิ่งสําคัญในการค้าระหว่างประเทศ การเตรียมการนี้ช่วยให้พิธีการทางศุลกากรเป็นไปอย่างราบรื่น ป้องกันความล่าช้าและค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เอกสารที่ไม่ครบหรือไม่ถูกต้องอาจนําไปสู่การล้มเหลวหรือหยุดชะงักในการจัดส่ง ซึ่งกระทบต่อซัพพลายเชนทั้งหมด เอกสารสำคัญที่อาจต้องใช้ในการส่งของไปต่างประเทศ ได้แก่
- ใบกํากับสินค้า (Commercial invoice): รายละเอียดการทําธุรกรรมและใช้สําหรับการประเมินราคาศุลกากร
- รายการบรรจุภัณฑ์ (Packing list): ระบุสินค้าข้างใน ขนาด และน้ำหนักของสินค้า
- ใบสั่งซื้อ (Purchase order): ยืนยันรายละเอียดการสั่งซื้อระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย
- ใบรับรองแหล่งกําเนิดสินค้า (Certificate of Origin หรือ COO): ระบุประเทศต้นทางของผลิตภัณฑ์ซึ่งจําเป็นสําหรับภาษี
- ใบอนุญาตนําเข้า/ส่งออก (Import/ Export licence): ได้มาจากการจดทะเบียนกับสํานักงานศุลกากรไทย โดยอนุญาตให้ธุรกิจในประเทศไทยสามารถซื้อขายสินค้าควบคุมบางชนิดทั่วโลกได้อย่างถูกกฎหมาย
- ใบศุลกากร (Customs declaration form): เป็นการสำแดงลักษณะของสินค้าสําหรับการประเมินศุลกากร
- ใบตราส่งสินค้าทางอากาศ (Air waybill): สัญญาการขนส่งสําหรับการขนส่งทางอากาศมีความสําคัญต่อการติดตาม
เอกสารแต่ละฉบับมีส่วนสําคัญที่จะช่วยให้สามารถขนส่งสินค้าจากประเทศไทยไปทั่วโลกให้สําเร็จ เพื่อให้มั่นใจว่าทุกแง่มุมของการค้าระหว่างประเทศ ตั้งแต่พิธีการทางศุลกากรไปจนถึงการติดตามสินค้าได้รับการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ
4. การจัดการอากรศุลกากรและภาษี
สําหรับธุรกิจที่ส่งออกสินค้าจากไทยไปต่างประเทศ การจัดการอากรศุลกากรและภาษีอย่างมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสําคัญ
อากรคือค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากสินค้าที่เข้าประเทศตามมูลค่า ประเภท และปัจจัยอื่นๆ ในทางกลับกันพิกัดภาษีเป็นภาษีประเภทเฉพาะที่กําหนดโดยรัฐบาลสําหรับสินค้านําเข้า ซึ่งมักใช้เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในท้องถิ่น ทั้งอากรและภาษีศุลกากรจะเพิ่มต้นทุนในการจัดส่งสินค้าระหว่างประเทศของธุรกิจ
นอกจากนี้ รหัส Harmonised System (HS Code) ยังกลายเป็นเครื่องมือสําคัญ HS Code คือการจัดระบบเชิงตัวเลข เป็นมาตรฐานสําหรับการจําแนกประเภทสินค้า ซึ่งเป็นเครื่องมือในการประเมินอากรและภาษีศุลกากรอย่างถูกต้อง ด้วยการใช้พิกัดศุลกากรนี้เอง ธุรกิจในประเทศไทยสามารถปรับปรุงกระบวนการศุลกากรและการขนส่ง ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความโปร่งใสในการพาสินค้าของตนไปทำการค้าทั่วโลก
การปฏิบัติตามข้อกำหนดเหล่านี้ให้ถูกต้อง รวมถึงการชําระเงินค่าภาษีศุลกากรตามจํานวนที่ถูกต้องในเวลาที่เหมาะสม เป็นสิ่งสําคัญสําหรับการส่งของไปต่างประเทศให้ราบรื่น
5. บรรจุภัณฑ์และการติดฉลากที่เหมาะสม
การรับรองความปลอดภัยและความสมบูรณ์ของสินค้าเป็นสิ่งสําคัญยิ่งในบริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ ตัวอย่างเช่น ยาต้องการการจัดเก็บแบบควบคุมอุณหภูมิเพื่อรักษาประสิทธิภาพ ในทํานองเดียวกัน สินค้าที่เน่าเสียง่าย เช่น อาหารแช่แข็งก็ต้องการโลจิสติกส์แบบ cold-chain และบรรจุภัณฑ์สุญญากาศหรือปิดผนึกสุญญากาศเพื่อป้องกันการเน่าเสีย เป็นต้น
การติดฉลากที่แม่นยําและให้ข้อมูลที่ครบถ้วนก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ซึ่งรวมถึงการใช้สัญลักษณ์ต่างๆ เช่น สัญลักษณ์บ่งบอกความอันตรายสําหรับสินค้าที่อาจเป็นอันตรายและคําแนะนําในการจัดการเฉพาะเพื่อเป็นแนวทางแก่ผู้ดูแล รวมถึงฉลาก 'Fragile' สำหรับสินค้าเปราะบาง หรือ 'This Side Up' เพื่อให้ตั้งวางกล่องให้ถูกทิศทาง
การทำตามแนวทางปฏิบัติในการจัดส่งพัสดุระหว่างประเทศที่เหมาะสม ช่วยให้มั่นใจได้ถึงการรักษาคุณภาพและความปลอดภัยของสินค้าตลอดการเดินทาง